ประวัติของนาฏศิลป์ไทย
สันนิษฐานว่านาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาพร้อม
ๆ กับชนชาติไทย ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย
คติ และความเชื่อของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า นาฏศิลป์ไทยน่าจะมีที่มาจาก 4 แหล่ง ดังนี้
- การเลียนแบบธรรมชาติ คือ เริ่มมาจากการแสดงอารมณ์ของมนุษย์
หรือธรรมชาติจึงทำให้เกิดเป็นกิริยาท่าทางต่างๆ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะหรือตบมือ
กระโดดโลดเต้น เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้หรือดิ้นรน เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้น
ก็จะใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาสื่อความหมาย เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้ความรู้สึกและความประสงค์
เช่น ต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมึงทึง
กระทืบ กระแทก และต่อมาก็ได้มีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง
ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง ติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงามเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจความหมายในการรำ และใช้ท่ารำในการดำเนินเรื่อง จนเป็นที่ต้องตาติดใจคน
ที่มารูป : https://sites.google.com
-
การเซ่นสรวง บูชา หรือ ลัทธิ
ความเชื่อต่างๆ คือ
มนุษย์ในสมัยอดีตมีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้า จึงมีการเซ่นสรวง
บูชา เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา
หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป โดยการบูชาเซ่นสรวงนั้นมักถวาย
เช่น อาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ ตลอดจน การขับร้องและการฟ้อนรำ ต่อมาก็มีการฟ้อนรำเพื่อบำเรอกษัตริย์ด้วย
เพราะถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน หรือ
มีการฟ้อนรำเพื่อรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ
ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู
แต่ในเวลาต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา
จนกลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
การเซ่นสรวง บูชา หรือ ลัทธิ
ความเชื่อต่างๆ คือ
มนุษย์ในสมัยอดีตมีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้า จึงมีการเซ่นสรวง
บูชา เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา
หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป โดยการบูชาเซ่นสรวงนั้นมักถวาย
เช่น อาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ ตลอดจน การขับร้องและการฟ้อนรำ ต่อมาก็มีการฟ้อนรำเพื่อบำเรอกษัตริย์ด้วย
เพราะถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน หรือ
มีการฟ้อนรำเพื่อรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ
ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู
แต่ในเวลาต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา
จนกลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
ที่มารูป : http://www.at-chiangmai.com/
- การละเล่นของชาวบ้านในท้องถิ่น คือ หลังจากเสร็จสิ้นจากภารกิจในแต่ละวันชาวบ้านก็จะหาเวลาว่างมาร่วมกัน ร้องรำ
ทำเพลง โดยมีการเล่นดนตรีประกอบ และ ตามนิสัยของคนไทยที่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน
ชอบร้องเพลงโต้ตอบระหว่างชายกับหญิงจนเกิดเป็นพ่อเพลง แม่เพลงขึ้น และจะมีลูกคู่ คอยร้องรับกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานไปได้
ที่มารูป : http://www.surinpao.org
- การแสดงที่เป็นแบบแผน คือ นาฏศิลป์ไทยที่เป็นมาตรฐานจะได้รับการปลูกฝัง และถ่ายทอดจากปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยในวังหลวง ที่ฝึกให้แก่ผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่ในวังเป็นนักแสดงโขน และละคร
เพื่อใช้การแสดงในโอกาสต่าง ๆ
และการที่นาฏศิลป์ไทยบางส่วนได้รับการถ่ายทอดมาจากวังหลวงนี้เอง ทำให้ทราบได้ว่านาฏศิลป์ไทยมีที่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี เพราะได้มีการจารึกไว้ในหลักศิลาจารึกหลักที่ 8 ว่า “ ระบำ รำ เต้น เล่น ทุกฉัน” ซึ่งศิลปะการฟ้อนรำก็ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันเรื่อยมา จนถึงในสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการนำศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นแบบแผนมาสู่ระบบการศึกษา ซึ่งบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนนาฏศิลป์หรือวิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน
ที่มารูป : http://cdasp72000.blogspot.com
-
การรับอารยธรรมของอินเดีย คือ
นาฏศิลป์ไทยได้รับอิทธิพล แบบแผนเกี่ยวกับเทพเจ้า
และตำนานการฟ้อนมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งสันนิษฐานว่า
อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฎศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา
โดยผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย
และ ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่าพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก และในยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็นนาฏราช
(ราชาแห่งการร่ายรำ) ซึ่งมีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ว่าในการร่ายรำของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤๅษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ
แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนานการฟ้อนรำ
ซึ่งในการเรียนนาฏศิลป์ไทยผู้เรียนทุกคนจะต้องเข้าพิธีไหว้ครูโขน-ละครก่อน
ซึ่งได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม
พระพิฆเนศวร พระพิราพ และพระภรตฤๅษี
-
การรับอารยธรรมของอินเดีย คือ
นาฏศิลป์ไทยได้รับอิทธิพล แบบแผนเกี่ยวกับเทพเจ้า
และตำนานการฟ้อนมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งสันนิษฐานว่า
อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฎศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา
โดยผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย
และ ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่าพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก และในยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็นนาฏราช
(ราชาแห่งการร่ายรำ) ซึ่งมีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ว่าในการร่ายรำของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤๅษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ
แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนานการฟ้อนรำ
ซึ่งในการเรียนนาฏศิลป์ไทยผู้เรียนทุกคนจะต้องเข้าพิธีไหว้ครูโขน-ละครก่อน
ซึ่งได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม
พระพิฆเนศวร พระพิราพ และพระภรตฤๅษี
การรับอารยธรรมของอินเดีย คือ
นาฏศิลป์ไทยได้รับอิทธิพล แบบแผนเกี่ยวกับเทพเจ้า
และตำนานการฟ้อนมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งสันนิษฐานว่า
อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฎศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยา
โดยผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย
และ ในบางยุคของชาวอินเดียถือว่าพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่มีผู้เคารพนับถือมาก และในยุคนี้ถือว่าพระอิศวรทรงเป็นนาฏราช
(ราชาแห่งการร่ายรำ) ซึ่งมีประวัติทั้งในสวรรค์และในเมืองมนุษย์ว่าในการร่ายรำของพระอิศวรแต่ละครั้งพระองค์ทรงให้พระภรตฤๅษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ
แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์จนเป็นที่มาของตำนานการฟ้อนรำ
ซึ่งในการเรียนนาฏศิลป์ไทยผู้เรียนทุกคนจะต้องเข้าพิธีไหว้ครูโขน-ละครก่อน
ซึ่งได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม
พระพิฆเนศวร พระพิราพ และพระภรตฤๅษี
ที่มารูป : https://sites.google.com
แหล่งที่มา https://stu40428.wordpress.com/
http://oknation.nationtv.tv
ทำไมไม่มีคนแต่ง
ตอบลบ